เทรนด์รถ EV กำลังมาแรงขนาดนี้... Newgarage (นิวการาจ) ขอแนะนำให้ รู้จักรถยนต์ไฟฟ้า (EV) คืออะไร? มีกี่ประเภท? ตัดสินใจซื้อตอนนี้...ดีไหม?
รถ EV หรือ Electric Vehicle แปลตรงตัวได้ว่า รถไฟฟ้า คือยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า แทนการใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Engine : ICE) โดยกลไกการทำงานไม่ค่อยมีความซับซ้อน ต่างจากรถยนต์ใช้น้ำมัน คือจะเก็บพลังงานเอาไว้ในแบตเตอรี่ และแปลงพลังงานจากแบตเตอรี่มาใช้ในการขับเคลื่อน ดังนั้น ความน่าสนใจของรถ EV ก็คือการใช้พลังงานสะอาด เครื่องยนต์เงียบ และไม่มีไอเสีย จึงตอบโจทย์ในการลดมลพิษได้ 100%
Tips: เครื่องยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Engine: ICE) คือ เครื่องยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล (Fossil) ในการเผาไหม้เพื่อจุดระเบิด เช่น น้ำมันเบนซิน ดีเซล และน้ำมันก๊าดในเครื่องยนต์บางประเภท และดันลูกสูบภายในกระบอกสูบให้เคลื่อนที่ขึ้น-ลง เพื่อไปหมุนเพลาข้อเหวี่ยงที่ต่อกับเกียร์ผ่านเพลาหรือโซ่ แล้วส่งกำลังขับเคลื่อนไปยังล้อ ทำให้รถยนต์เคลื่อนที่ไปข้างหน้า
องค์ประกอบหลักในการทำงานของรถ EV จะมีเพียงแบตเตอรี่ อุปกรณ์แปลงกระแสไฟฟ้า และมอเตอร์ไฟฟ้า เท่านั้น รายละเอียดดังนี้
1.) แบตเตอรี่รถ EV : มีหลายประเภท โดยที่นิยมในปัจจุบันส่วนใหญ่จะเป็นแบบลิเธียมไอออน เนื่องจากใช้งานได้นานและมีความทนทานสูง
นอกจากนั้น ยังมีทั้งแบบชาร์จไฟได้ (ไฟบ้าน 220V, สถานีชาร์จ) และแบบชาร์จไฟไม่ได้
2.) อุปกรณ์แปลงไฟฟ้า : มีหน้าที่ควบคุมและแปลงกระแสไฟฟ้าจากกระแสตรงจากแบตเตอรี่ให้เป็นกระแสสลับที่พร้อมใช้งาน
จากนั้นพลังงานส่วนนี้จะถูกส่งต่อไปยังมอเตอร์ไฟฟ้า
3.) มอเตอร์ไฟฟ้า : ทำหน้าที่เป็นเหมือนเครื่องปั่นไฟ คอยส่งกระแสไฟฟ้าที่แปลงเรียบร้อยแล้ว ไปยังระบบขับเคลื่อนหรือเพลา
รถยนต์ไฟฟ้า แบ่งออกเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง?
ในปัจจุบันรถยนต์ EV สามารถแบ่งตามเทคโนโลยี ออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
1. รถยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริด (Hybrid Electric Vehicle: HEV)
เป็นรถยนต์ที่ใช้พลังงานผสมผสาน (Hybrid) ระหว่างเชื้อเพลิงทั่วไป และพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ โดยรถยนต์ประเภทนี้จะมีอัตราสิ้นเปลืองต่ำกว่าแบบใช้เครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว และสามารถนำพลังงานกลส่วนที่เหลือ/ไม่ใช้ประโยชน์ เปลี่ยนกลับมาเป็นพลังงานไฟฟ้าเก็บไว้ในแบตเตอรี่อีกที เช่น ขณะที่เราเหยียบเบรก พลังงานบางส่วนจะถูกชาร์จเข้าแบตเตอรี่ และมอเตอร์ไฟฟ้าจะดึงมาใช้สลับกับตอนเครื่องยนต์ทำงาน เป็นต้น แต่ข้อเสียของ รถไฟฟ้าไฮบริด (HEV) คือไม่มีช่องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟจากภายนอก
2. รถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊ก-อิน ไฮบริด (Plug-in Hybrid Electric Vehicle : PHEV)
รถยนต์ประเภทนี้มีระบบน้ำมันเชื้อเพลิงและระบบไฟฟ้า โดยถูกพัฒนาต่อยอกมาจาก HEV โดยเครื่องยนต์จะทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าและมีแบตเตอรี่ไว้เก็บพลังงาน แต่จุดที่ต่างกันคือ PHEV ออกแบบมาให้เสียบปลั๊กชาร์จไฟจากภายนอกได้ หรือระบบ Plug-in ทำให้รถสามารถวิ่งไปได้ระยะทางมากกว่าระบบไฮบริดเดิม นอกจากนั้น แบตเตอรี่ยังสามารถชาร์จไฟเพิ่มเติมได้ตามต้องการ เมื่อแบตเตอรี่หมดรถจะทำงานคล้ายกับระบบไฮบริด (HEV) ต่อไป
3. รถยนต์ไฟฟ้าแบบใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวในการขับเคลื่อน (Plug-in Electric Vehicles : PEVs)
รถยนต์ไฟฟ้าประเภทนี้จะใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียว คล้ายกับ PHEV แต่แบตเตอรี่จะมีขนาดใหญ่กว่า เมื่อแบตเตอรี่หมดต้องเสียบชาร์จใหม่เท่านั้น จุดเด่นคือตอบโจทย์เรื่องการลดมลพิษ (Zero Emission) แต่ข้อเสียคือวิ่งได้ระยะทางค่อนข้างจำกัด ขึ้นอยู่กับขนาดของแบตเตอรี่ การใช้งาน สภาพถนน และสภาพจราจร เป็นต้น โดยสามารถแยกย่อยตามการใช้งานได้เป็น 3 แบบ ดังนี้
3.1) รถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้วิ่งในระยะสั้น หรือระยะทางใกล้ ๆ มีช่วงการขับขี่ต่ำ ทำงานที่ความเร็วต่ำ เช่น GEM Electric Motorcar
3.2) รถยนต์ไฟฟ้าประเภท Battery Electric Vehicle (BEV) คือใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ 100% จึงต้องมีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ เพื่อให้วิ่งได้ระยะทางไกลมากขึ้นต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง
3.3) รถยนต์ไฟฟ้าแบบเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell Electric Vehicle – FCEV) เป็นรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell) ซึ่งเป็นการใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจน ทำปฏิกิริยากับออกซิเจน เกิดเป็นความร้อนแล้วเปลี่ยนเป็นไฟฟ้า ดังนั้น FCEV จึงถือเป็นพลังงานสะอาดที่ยั่งยืน มีประสิทธิภาพ ลดการปล่อยมลพิษ, ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้าแบบ FCEV อยู่ระหว่างการพัฒนาเพิ่มต่อเนื่อง คาดว่าออกสู่ตลาดเร็ว ๆ นี้
ซื้อรถ EV หรือ รถใช้น้ำมัน เลือกแบบไหนดี?
1. ชิ้นส่วนที่ต้องบำรุงรักษาของรถยนต์ไฟฟ้า EV มีน้อยกว่า แต่ค่าใช้จ่ายอาจแพงกว่า
รถยนต์ไฟฟ้า EV มีชิ้นส่วนสำคัญต่างๆ น้อยกว่ารถยนต์ทั่วไป เช่น ไม่มีระบบเครื่องยนต์/ชุดเกียร์ โดยส่วนที่ทำหน้าที่หลักในการขับเคลื่อนก็ใช้เพียงแค่แบตเตอร์รี่ อุปกรณ์แปลงกระแสไฟฟ้า และมอเตอร์ไฟฟ้าเท่านั้น ทำให้การดูแล ซ่อมแซม ไม่สร้างภาระหนักหรือจุกจิกเท่ารถยนต์แบบเดิม ไม่ว่าจะน้ำมันเครื่องหรือน้ำมันเกียร์ก็ไม่ต้องมาคอยเปลี่ยน แถมการทำงานยังไม่ซับซ้อน ซ่อมง่าย ใช้เวลาไม่นาน แต่อย่างไรดี จุดที่ต้องระวังคือแบตเตอรี่ หากเสื่อมสภาพหรือเกิดการชำรุดเสียหาย แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยน/ซ่อม อาจแพงพอ ๆ ที่จะซื้อรถใหม่ได้ครึ่งคันเลยทีเดียว
2. ประสบการณ์การขับขี่ที่ง่ายกว่า
หลายคนที่เคยขับรถ EV ต่างบอกว่าสมรรถนะอัตราเร่งดี แทบไม่ต่างจากรถที่ใช้น้ำมัน สามารถควบคุมอัตราการเร่งได้ตามที่ต้องการ ด้วยกลไกที่น้อยลง การขับขี่จึงง่ายมากขึ้นและไม่มีเสียงการทำงานของเครื่องยนต์ดังรบกวน ยิ่งถ้าเป็น รุ่นที่มีระบบ Hydrolock จะสามารถขับลุยน้ำได้ในกรณีฉุกเฉิน โดยไม่ก่อให้เกิดปัญหา อย่างไรก็ดีก่อนตัดสินใจ ควรศึกษาคู่มือรถ ข้อควรระวัง สอบถามกับผู้ขายให้ชัดเจน
3. ประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาวมากกว่า
นอกจากข้อดีเรื่องชิ้นส่วนน้อย การดูแลซ่อมแซมไม่จุกจิก และการขับที่ไหลลื่นแล้ว การเลือกใช้รถ EV อาจช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้ด้วย เพราะเปลี่ยนจากการจ่ายค่าน้ำมันมาจ่ายค่าไฟฟ้า ซึ่ง ณ ปัจจุบันถือว่าถูกกว่าหลายเท่า ขณะที่ราคาน้ำมันดูไม่มีวี่แววว่าจะลดลง
ทั้งนี้ มีผู้ใช้งานรถยนต์ EV เคยออกมาเปิดเผยว่า สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายต่อเดือนได้หลายพันบาท รวมถึงค่าใช้จ่ายบำรุงรักษามีแนวโน้มถูกลงตามเทคโนโลยีที่มีการพัฒนามากขึ้น โดยเฉพาะเทคโนโลยีแบตเตอรี่ EV ขณะเดียวกัน ด้วยนโยบายส่งเสริมของภาครัฐ ในการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ทั้งเพิ่มจำนวนสถานีชาร์จ/เปลี่ยนแบตเตอรี่ หรือการติดตั้งที่ชาร์จในบ้าน ก็ช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย ประหยัดเวลาชีวิตมากขึ้น
4. ตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อมมากกว่า
การใช้รถ EV ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ยั่งยืน ตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี ด้วยกลไกการทำงาน ชิ้นส่วนของรถยนต์ไฟฟ้า มีน้อยกว่ารถยนต์สันดาปภายในเยอะมาก หัวใจหลักๆ ก็คือแบตเตอรี่ เพราะมีผลต่อการใช้งานและการดูแลรักษา ที่สำคัญคือไม่มีการปล่อยมลพิษทางไอเสีย นอกจากนั้น หลายประเทศทั่วโลกต่างมีนโยบายออกมารองรับการใช้รถยนต์ไฟฟ้า EV กันมากขึ้น เพื่อมุ่งลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล และบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของภาวะโลกร้อน รวมถึงไทยเองก็มีนโยบายลดภาษีสรรพสามิต ส่งเสริมการลงทุนแก่ผู้ผลิต ฯลฯ ส่วนผู้ใช้รถ...ถึงเวลาที่เราต้องจริงจังในการช่วยกัน “รักษ์โลก” และ “ดูแลสิ่งแวดล้อม” กันมากขึ้น