รถยนต์ไฟฟ้า (EV) มีข้อดีอะไรบ้าง? ทำไมปัจจุบันมีผู้ให้ความสนใจ และหันไปเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น
อย่างที่ทราบกันดีว่า “จุดเด่นของรถ EV” คือ ตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อมและช่วยลดโลกร้อน เนื่องจากใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อนแทนการใช้น้ำมัน ซึ่งไม่มีการปล่อยไอเสีย, ฝุ่น PM2.5 ให้เป็นมลพิษทางอากาศและสามารถชาร์จไฟจากที่บ้านได้ ขณะเดียวกัน “เชื้อเพลิงฟอสซิล” มีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ ทำให้ทิศทางพลังงานโลกมุ่งไปสู่การผลิตและการใช้พลังงานสะอาดที่มีการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ จึงไม่น่าแปลกใจที่เทรนด์นี้จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น
ส่วนเรื่องของสมรรถนะอัตราเร่ง แทบไม่ต่างจากรถยนต์สันดาปหรืออาจจะดีกว่า อีกทั้งเทคโนโลยีแบตเตอรี่ในรถ EV รุ่นใหม่ ๆ ก็ได้รับการพัฒนาให้เก็บประจุไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้นและอายุการใช้งานนานขึ้น จึงเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจและช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในยุคน้ำมันแพง ประกอบกับมาตรการสนับสนุนการผลิตและการใช้งานรถ EV ของภาครัฐ ตลอดจนการบังคับใช้มาตรฐานยูโร 5 และยูโร 6 ทำให้ค่ายรถยนต์ต่าง ๆ ต้องปรับตัวแข่งขันกันอย่างดุเดือด ส่งผลให้ “ราคารถ EV” ในปัจจุบันจับต้องได้มากขึ้น ซึ่งเป็นผลดีกับผู้ใช้รถ ทำให้หลายคนสนใจและ “อยากลองใช้งาน”
แต่อย่างไรก็ดี ปัจจุบันรถ EV ยังมีข้อจำกัดและหลายปัจจัยที่ทำให้คนกังวลว่า จะคุ้มไหมถ้าลองหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าในตอนนี้…
ข้อดีของรถยนต์ไฟฟ้า EV
1. เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
รถยนต์ไฟฟ้านั้นจะทำงานด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ ทำให้ไม่มีการปล่อยไอเสียหรือก๊าซเรือนกระจกออกมา ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และไม่สร้างมลพิษ ลดคาร์บอน No Carbon Emission (Zero Emission) เป็นหนึ่งในตัวช่วยที่ทำให้อากาศสะอาดขึ้น ช่วยลดภาวะโลกร้อน ยิ่งเลือกชาร์จไฟด้วยพลังงานสะอาด อย่างพลังงานจากโซลาร์เซลล์ก็จะยิ่งช่วยให้อากาศสะอาดมากยิ่งขึ้น
2. ลดมลพิษทางเสียง
เนื่องจากกลไกในการขับเคลื่อนของตัวรถไฟฟ้านั้นไม่มีการจุดระเบิดเชี้อเพลิงอย่างน้ำมัน แต่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่สู่มอเตอร์เพื่อทำการขับเคลื่อน จึงทำให้รถยนต์ไฟฟ้า EV มีความเงียบ เสียงไม่ดังรบกวน
3. ประหยัดค่าใช้จ่าย
การเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้า EV ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานเชื้อเพลิง เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้านั้นไม่มีเครื่องยนต์ มีเพียงมอเตอร์ไฟฟ้าเท่านั้น จึงไม่ต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในการเผาไหม้ อีกทั้งพลังงานไฟฟ้ายังมีราคาถูกกว่า และผันผวนน้อยกว่าราคาน้ำมัน
ด้านการบำรุงรักษา ประหยัดมากกว่ารถยนต์แบบใช้น้ำมัน เนื่องจากแบตเตอรี่ได้มีการผลิตให้มีความทนทาน สามารถใช้งานได้อย่างยาวนานขึ้น ไม่ต้องเข้าศูนย์ซ่อมบ่อย หรือเช็กระยะเหมือนรถสันดาป แต่จะดูการทำงานเพียง 4 ส่วนหลัก ๆ เท่านั้น คือระบบขับเคลื่อน ระบบเบรก ระบบระบายความร้อน และการกรองอากาศ ไม่มีของเหลวหรือกรองของเหลวเหมือนรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการนำรถเข้าศูนย์
อีกทั้งจะประหยัดมากขึ้นหากมีการติดโซลาร์เซลล์ที่บ้าน ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงลงไปได้อีก และคาดว่าราคาของรถยนต์ไฟฟ้าในตลาดจะลดลงอย่างต่อเนื่อง
4. อัตราเร่งที่ดีกว่า
รถยนต์ไฟฟ้า EV มีแรงบิดที่มากกว่า ทำให้อัตราเร่งดีกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน แรงบิดที่พร้อมใช้งานทันทีในรถ EV ส่งผลให้มีอัตราเร่งที่ราบรื่นและรวดเร็วเป็นพิเศษ ซึ่งมอเตอร์ไฟฟ้าขึ้นชื่อเรื่องแรงบิดที่เป็นเอกลักษณ์นี้ สามารถส่งแรงบิดสูงสุดตั้งแต่วินาทีแรกที่เริ่มเหยียบคันเร่ง แตกต่างจากเครื่องยนต์แบบสันดาปที่จะต้องรอให้ถึงความเร็วรอบ RPM (รอบต่อนาที) เพื่อให้ได้แรงบิดสูงสุด จึงส่งแรงบิดได้ช้ากว่า
แรงบิดที่พร้อมใช้งานทันทีในรถ EV นี้ ไม่เพียงแต่ให้อัตราเร่งที่เร้าใจและตอบสนองได้อย่างที่ต้องการ ให้ความรู้สึก "เบา" และ "ปราดเปรียว" แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและช่วยในการควบคุมรถอีกด้วย ทำให้รถไฟฟ้า EV เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ขับขี่จำนวนมาก
5. ความสะดวกสบาย
จุดเด่นที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าได้เปรียบกว่ารถสันดาป คือ สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ ซึ่งปัจจุบันเริ่มมีการติดตั้งแท่นชาร์จให้บริการเพิ่มขึ้น เช่น สถานีชาร์จในปั๊ม ห้างสรรพสินค้า คอนโดมิเนียมบางแห่ง หรือสามารถชาร์จไฟบ้านได้ (ปลั๊กต่อพ่วง/แท่นชาร์จ) เพื่อความสะดวก ชาร์จได้ทั้งกลางวัน-กลางคืน และหากครอบครัวใดที่ติดโซลาร์เซลล์ ก็สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้น
6. ระบบเบรกเพื่อชาร์จไฟ
ระบบการเบรกเพื่อชาร์จไฟ (Regenerative Braking) เป็นการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ โดยระหว่างที่เบรก รถยนต์ไฟฟ้าจะจับพลังงานและชาร์จแบตเตอรี่ตลอดการเดินทาง เมื่อเกิดการเร่งเครื่องใหม่ก็จะนำพลังงานกลับมาใช้ ซึ่งช่วยให้มีความประหยัดพลังงานมากขึ้น ระบบการเบรกนี้จึงช่วยลดการสึกหรอของผ้าเบรกและยืดอายุการใช้งานได้ การเบรกเพื่อชาร์จไฟจึงเป็นนวัตกรรมที่ช่วยให้ประหยัดพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อเสียของรถยนต์ไฟฟ้า EV (สิ่งที่ยังคงกังวลในปัจจุบัน)
1. ราคายังคงค่อนข้างสูง
แม้ว่าจะมีอัตราค่าใช้จ่ายเรื่องเชื้อเพลิงที่ต่ำ แต่เนื่องจากกระบวนการผลิตจนถึงการวางจำหน่าย จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีใหม่ในการผลิต ทำให้ตัวรถมีราคาต้นทุนในการผลิตสูงตามไปด้วย แต่คาดว่าราคาในตลาดจะค่อยๆ ลดลงเพราะมีการแข่งขันจากหลากหลายค่ายมากขึ้น พร้อมทั้งมีการขยายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศสูงมากขึ้นด้วย
2. ข้อจำกัดด้านระยะทางในการขับขี่
ปัจจุบันนี้ระยะทางขับขี่ของรถยนต์ไฟฟ้ายังถูกจำกัดด้วยความจุของแบตเตอรี่ และประสิทธิภาพของมอเตอร์ไฟฟ้า แม้เทคโนโลยีด้านแบตเตอรี่จะถูกพัฒนาอยู่อย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยระยะทางต่อราคาของรถยนต์ไฟฟ้าที่นับว่ายังค่อนข้างสูงอยู่ จึงเป็นอีกหนึ่งจุดอ่อนของรถยนต์ไฟฟ้าเมื่อเทียบกับรถที่ใช้น้ำมัน
ระยะการขับขี่ จากการชาร์จแต่ละครั้ง รถยนต์ไฟฟ้าสามารถวิ่งไว้ประมาณ 160-200 กิโลเมตร
3. สถานีชาร์จไม่ครอบคลุมในหลาย ๆ พื้นที่
หากต้องการเดินทางระยะไกลหรือไปต่างจังหวัด จำเป็นจะต้องมีการวางแผนการขับขี่ และตรวจสอบสถานีชาร์จว่ามีในจุดใดบ้าง จึงควรมีการวางแผนก่อนเดินทางทุกครั้ง
4. อู่ซ่อมรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะมีน้อย
ทุกวันนี้มีอู่ซ่อมรถยนต์สันดาปอยู่อย่างมากมาย แตกต่างจากอู่ซ่อมรถยนต์ไฟฟ้าที่แม้ว่าจะมีเหมือนกัน แต่ก็มักจะเป็นอู่เฉพาะทาง และมีจำนวนที่น้อยมาก ๆ ไม่ได้หาง่ายเหมือนกับอู่ซ่อมรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน และในหลาย ๆ กรณีหากเกิดปัญหาขึ้นมาก็ต้องเข้าศูนย์บริการเท่านั้น
5. ระยะเวลาในการชาร์จไฟถี่ และใช้เวลานาน
ถึงแม้ว่าจะมีการพัฒนาเรื่องของแบตเตอรี่ ให้มีการชาร์จประจุอยู่ตลอด หรือเทคโนโลยีการชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงจะพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด แต่สุดท้ายก็ยังช้ากว่าการเติมน้ำมันอยู่ดี
หากเทียบกับการเติมน้ำมันในระยะเวลาอันสั้น เพียงไม่เกิน 5 นาทีคุณก็จะเติมน้ำมันเสร็จ แต่หากคุณใช้รถระบบไฟฟ้ามันจำเป็นมาก ๆ ที่คุณจะต้องใช้เวลานานขึ้น หรือคุณจะต้องเผื่อเวลาเพิ่มขึ้นในระหว่างทางเพื่อให้เวลากับการชาร์จแบตเตอรี่ บางรุ่นใช้เวลาชาร์จแค่ 30 นาที แต่ในบางรุ่นนั้นต้องใช้เวลาถึง 4 ชั่วโมง
6. การจัดการขยะจากแบตเตอรี่
เนื่องจากแบตเตอรี่ที่ติดตั้งอยู่ในรถยนต์ไฟฟ้า ปัจจุบันมีอายุการใช้งานที่จำกัด การเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่เป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย แต่การกำจัดแบตเตอรี่ที่เสื่อมสภาพไปแล้วนั้น ในปัจจุบันยังไม่มีมาตรการที่ชัดเจนในการกำจัดแบตเตอรี่ที่เป็นขยะเหล่านี้ ซึ่งเป็นความท้าทายที่จะต้องมีการดำเนินการต่อไป
สรุป
แนวโน้มการเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) นับวันยิ่งเพิ่มขึ้น แม้ยังมีข้อเสีย/ข้อจำกัดอยู่บ้าง ถือเป็นเรื่องธรรมดาเมื่อมีการพัฒนาและเกิดการใช้งานเทคโนโลยีใหม่ในยุคแรก ๆ และการเปลี่ยนให้คนหันมาใช้ EV เต็มรูปแบบคงต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะเข้ามาแทนที่รถยนต์สันดาปได้ 100%
แต่อย่างไรก็ดี ทุกภาคส่วนก็มีความพยายามผลักดันทุกทิศทาง ไม่ว่าจะเป็น โครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ, ระเบียบข้อบังคับเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยและการใช้งาน, หลักเกณฑ์หรือข้อกำหนดในการคุ้มครองผู้บริโภค/ผู้ใช้รถ EV ตลอดจนการพัฒนาทักษะแรงงาน ช่างเทคนิคที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง มีความรู้ความสามารถด้านรถยนต์ไฟฟ้า ผ่านโครงการฝึกอบรมต่าง ๆ ของทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อลดข้อจำกัดต่าง ๆ และสร้างความมั่นใจในการใช้งานรถ EV มากขึ้น
สุดท้ายนี้ หากใครที่ต้องการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าก็ควรที่จะศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติม คำนวณเปรียบเทียบค่าใช้จ่าย รวมถึงพิจารณาตามความเหมาะสมกับสไตล์การใช้งานของแต่ละคน เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจ